รีวิวหนัง Netflix | Blood : เทพบุตรแวมไพร์
รีวิวหนัง Netflix | Blood : เทพบุตรแวมไพร์
“Blood เทพบุตรแวมไพร์” (เกาหลี: 블러드) เป็นละครโทรทัศน์ของเกาหลีใต้ปี 2015 ที่นำแสดงโดย “อัน แจ-ฮย็อน” , “จี จิน-ฮี” , “คู ฮเย-ซ็อน” และ “ซน ซู-ฮย็อน” ออกอากาศทางสถานี KBS2 ตั้งแต่วันที่ 16 กุมภาพันธ์ ถึง 21 เมษายน ค.ศ. 2015 ในวันจันทร์และวันอังคาร เวลา 22:00 น. จำนวน 20 ตอน ได้แล้ววันนี้ที่ Netflix
เรื่องย่อซีรีส์ Blood
ลองคิดเล่น ๆ ว่ามีแวมไพร์มาเป็นหมอในโรงพยาบาล อืม…แค่คิดก็รู้สึกขนลุกเกรียวไปทั้งตัวแล้วใช่ไหมล่ะคะ แล้วยิ่งเป็นศัลยแพทย์มือดีที่ต้องเห็นเลือดอยู่ตลอดแบบนี้เขาจะมีวิธีควบคุมตัวเองยังไงกันนะ? เรื่องราวของ “ปาร์คจีซัง” คุณหมอหนุ่มใจดีสุดหล่อ มาดนิ่ง ดูภายนอกแล้วเป็นคนเย็นชาแต่ความจริงเป็นคนที่อบอุ่นและอ่อนไหวมากกว่าที่คิด เพราะเขานั้นต้องอยู่กับรอยแผลทางจิตใจเกี่ยวกับการสูญเสียครอบครัวของตัวเองไป
ความโดดเดี่ยวได้กัดกินหัวใจของแวมไพร์หนุ่มคนนี้ เขานั้นต้องอยู่กับความสงสัยแคลงใจเกี่ยวกับการเสียชีวิตของพ่อและแม่ตลอดหลายปี และเขาก็กำลังสืบข้อเท็จจริงซึ่งมันก็ใกล้จะเปิดเผยออกมาเต็มที แต่ทว่าการพบกับแพทย์หญิงสาวสวยอย่าง “ยูริต้า” ลูกสาวของประธานเจ้าของโรงพยาบาลแห่งนี้ก็ทำให้ชีวิตของหมอจีซังเจอกับเรื่องวุ่น ๆ ซะแล้วสิ
เพราะแค่ครั้งแรกที่เจอ ทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะไม่ลงรอยกันเสียแล้ว และยิ่งท่าทางแปลก ๆ ของหมอจีซังก็ทำให้หมอริต้านั้นรู้สึกว่าเขาต้องปิดบังอะไรอยู่แน่ ๆ แต่ความใกล้ชิดก็แปรเปลี่ยนความรู้สึกของทั้งสอง จนนำมาซึ่งเรื่องราวความรักสุดโรแมนติกที่เล่าด้วยเบื้องหลังที่เต็มไปด้วยปริศนา
ซีรีย์เกาหลีเรื่องนี้ถือเป็นซีรีย์เกาหลีน่าดูอีกเรื่องหนึ่งสำหรับคนที่ชอบเรื่องรักโรแมนติก เพราะเคมีคู่พระนางเขาเข้ากันดีมากแม่! ฟินตัวบิดกันเลยทีเดียว ฉากกุ๊กกิ๊กชวนขยี้หัวใจก็ใส่มาได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย คนดูอย่างเราเขินจนม้วนไปหลายตลบเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีการเล่าเรื่องที่เต็มไปด้วยปมต่าง ๆ อย่างไม่น่าเบื่อ ไม่ได้เครียดอะไรมากมาย แต่ก็มีอรรถรสที่น่าติดตามชมในทุก ๆ ตอน
ส่วนเรื่องการปูที่มาของตัวละครอย่างพระเอกของเราคิดว่าทำยืดเยื้อเกินไปนิดหน่อยในช่วงแรก ๆ อันที่จริงก็นานพอสมควรแต่หลังจากนั้นเนื้อเรื่องก็เริ่มสนุกจนหยุดดูไม่ได้ บอกเลยว่าแรงดึงดูดสำคัญของเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นเสน่ห์ของทั้ง “อันแจฮยอน” รับบทเป็นคุณหมอจีซัง และ “คู ฮเย-ซ็อน” รับบทเป็นคุณหมอริต้า
ที่ทั้งสวยหล่อครบเครื่อง ใครเป็นสาวกแฟนหนังแวมไพร์บอกเลยพลาดไม่ได้ หรือใครจะชอบหนังแนวแพทย์ก็ยิ่งห้ามพลาดเลย เพราะเขาใส่ใจรายละเอียดของการทำงานของหมอได้ดีมาก ชวนให้ลุ้นระทึกในการรักษาทุกเคสจริง ๆ
จากเนื้อเรื่องซีรีส์ Blood
ละคร “เทพบุตรแวมไพร์ (Blood)” กำกับและเขียนบทโดยทีมงานจากละครเรื่อง “ฟ้าส่งผมมาเป็นหมอ (Good Doctor)” เดิมมีการติดต่อให้ “ชอง อิลวู” (จากเดอะ รีเทิร์น ออฟ อิลจิแม / อัศวินรัตติกาล) และ “ยู ยอนซอก” (จากเรื่อง Reply 1994 คิดถึงเธอ) เป็นนักแสดงนำ แต่ทั้งคู่ต่างติดปัญหาเรื่องคิวงาน โดยอิลวูต้องเดินสายโปรโมทละคร “อัศวินรัตติกาล” ในต่างประเทศ ส่วนยอนซอกติดถ่ายทำภาพยนตร์ บทดังกล่าวจึงตกเป็นของ “อัน แจฮยอน” นายแบบหนุ่มที่เพิ่งประเดิมบทพระเอกในเรื่องนี้เป็นครั้งแรก (เขาเล่นละครครั้งแรกเมื่อปี 2013 โดยรับบทน้องชายนางเอกในเรื่อง “ยัยตัวร้ายกับนายต่างดาว” )
เนื้อหาในละครกล่าวถึงเรื่องราวของ “ปาร์ค จีซัง” ศัลยแพทย์หนุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดตับ ตับอ่อน และทางเดินน้ำดี ซึ่งผ่านการเป็นหมอฝึกหัดในศูนย์การแพทย์และโรงพยาบาลชั้นนำของโลกมาแล้วหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็น เมโยคลีนิค ที่รัฐมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา, ศูนย์โรคมะเร็งเอ็มดี เอ็นเดอร์สัน ในรัฐเท็กซัส, โรงพยาบาลรอยัลลอนดอน ที่สหราชอาณาจักร และโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมิวนิค (München) ประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ เขายังเป็นหมอนักวิจัยที่มีชื่อเสียงระดับโลกอีกด้วย
ด้วยความที่เป็นหมอเขาจึงเห็นคุณค่าของการมีชีวิตและคอยปกป้องชีวิตผู้คน แต่การเป็นหมอผ่าตัดที่ต้องเห็นเลือดผู้ป่วยไม่เว้นแต่ละวันกลับสร้างปัญหาให้เขาไม่น้อย เพราะนอกจากจะเป็นหมอแล้วเขายังเกิดมาเป็น “แวมไพร์” หากไม่ได้ทานยาก่อนเห็นเลือดหรือเข้าห้องผ่าตัด เขาจะกลายร่างเป็นแวมไพร์กระหายเลือดทันที
ละครเปิดฉากขึ้นที่ประเทศโรมาเนีย (บ้านเกิดแดร็กคูล่า) โดยสมมุติว่าเป็นสาธารณรัฐโคเชเนียซึ่งกำลังเกิดสงครามกลางเมือง… หลังได้รับเบาะแสสำคัญบางอย่างเกี่ยวกับแวมไพร์ “ปาร์ค จีซัง” ศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมิวนิค จึงไปเป็นแพทย์อาสาสมัครในภาวะสงครามที่โคเชเนีย และถือโอกาสไปที่โบสถ์ร้างห่างไกลชุมชนตามที่ตนได้ข้อมูลมา เมื่อพบจุดที่เป็นหลุมฝังศพเก่าแก่ซึ่งมีป้ายปักเอาไว้ว่า “จงอย่าเสาะหาความตาย ความตายจะเสาะหาเจ้าเอง” เขาก็เริ่มทำการขุดค้นและพบว่าทั้งหมดเป็นโครงกระดูกของผู้ที่มีเขี้ยวและนิ้วมือยาวผิดปกติ ทั้งยังมีร่องรอยของเศษผ้าเปื้อนเลือดที่ถูกตัดขาดอีกด้วย
หลังไปดูให้เห็นกับตาแล้วจีซังก็รีบกลับมาทำหน้าที่แพทย์อาสา เขากับแพทย์อาสาสมัครอีกคนได้รับคำสั่งให้รีบเก็บของแล้วอพยพออกนอกพื้นที่ เพราะกองกำลังฝ่ายกบฏจะมาถึงที่นี่ในอีก 2 ชั่วโมงข้างหน้า พอรู้ว่าหมออีกคนจะทิ้งคนไข้เด็กที่ถูกยิงและยังไม่ได้รับการผ่าตัดเอาไว้ที่นี่เพราะเห็นว่าเด็กมีโอกาสรอดชีวิตน้อยมาก ต่อให้เคลื่อนย้ายเด็กก็จะเสียเลือดมากจนเกิดภาวะช็อคและเสียชีวิตกลางทางอยู่ดี จีซังจึงยืนกรานว่าตนจะอยู่ที่นี่เพื่อผ่าตัดให้เด็กถึงแม้จะไม่มีผู้ช่วยและวิสัญญีแพทย์ก็ตาม หลังจากนั้นเขาก็ลงมือผ่าตัดเอากระสุนปืนออกให้เด็กตามลำพังอย่างใจเย็น (เขาตั้งชื่อเกาหลีให้เด็กหญิงคนดังกล่าวว่า “ยองฮี”)
เมื่อกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายกบฏมาถึง จีซังก็แนะนำตัวเป็นภาษาโรมาเนียโดยบอกว่า ตนเป็นหมอพลเรือนจากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยมิวนิค ประเทศเยอรมนี หวังว่าทุกคนจะปล่อยตนกับคนไข้เด็กตามหลักมนุษยธรรม เมื่อเห็นว่ากลุ่มกบฏไม่ยอมอ่อนข้อทั้งยังใช้ปืนจ่อและสั่งให้เขาคุกเข่า จีซังจึงเตือนว่าถ้าอยากเดินออกไปดีๆ ก็จงหลีกทางให้พวกตน กลุ่มกบฏได้ยินดังนั้นจึงระดมยิงจีซังทันที จีซังรีบเข็นเตียงคนไข้ให้พ้นทางก่อนถูกยิงจนร่างพรุน ไม่นานเขาก็กลายร่างเป็นแวมไพร์ยอดนักบู๊และจัดการกับกลุ่มกบฏจนนอนแน่นิ่งไปตาม ๆ กัน
เขาบอกคนดูว่า “ผมเป็นแวมไพร์ หรือถ้าจะพูดให้ชัด ๆ ผมติดเชื้อไวรัส ‘VBT-01’ เชื้อ VBT-01 สามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น (โรคติดต่อทางพันธุกรรม) สาเหตุของโรคยังไม่ปรากฏแน่ชัดและยังไม่มียารักษา ไวรัสชนิดนี้จะกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ “เทโลเมอเรส” ซึ่งเกี่ยวข้องกับกระบวนการชราภาพของมนุษย์ ผลก็คือผู้ติดเชื้อจะมีอายุขัยยาวนานกว่าคนปกติ 300 เท่าและมีพลังเหนือธรรมชาติ หากผู้ใหญ่ติดเชื้อ…กระบวนการชราภาพจะหยุดทำงานทันที (ไม่แก่ลงไปกว่านี้)
แต่ถ้าเป็นวัยรุ่น…กระบวนการชราภาพจะหยุดลงในอีก 5-6 ปีข้างหน้า แล้วร่างกายก็จะอยู่ในสภาพนั้น (หนุ่ม-สาว) ตลอดไป ผู้ติดเชื้อแต่ละคนจะมีสมรรถภาพทางกายเหนือคนปกติมาก แถมร่างกายยังรักษาหรือซ่อมแซมตนเองได้ แต่แสงอาทิตย์ยามเช้าและแสงธรรมชาติที่สว่างจ้ามากๆ อาจทำให้ถึงตาย และเวลากระหายเลือดแต่ละครั้งจะทรมานมาก… ผมไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสิ่งที่ตรงกลางระหว่างคนเป็นและคนตาย”
“เทโลเมอเรส (Telomerase)” เป็นเอนไซม์ที่จะช่วยรักษาความยาวของ “เทโลเมียร์” เพื่อรักษาสมดุลและประสิทธิภาพของกลไกการแบ่งตัวของเซลล์ ส่วน “เทโลเมียร์ (Telomere)” คือ ดีเอ็นเอที่อยู่ส่วนปลายสุดของโครโมโซม ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ข้อมูลรหัสพันธุกรรมถูกทำลายไประหว่างการแบ่งตัวของเซลล์ ทั้งยังเป็นตัวกำหนดอายุขัยของเซลล์และอายุขัยคนเราด้วย ทุกครั้งที่เซลล์มีการแบ่งตัว ความยาวของเทโลเมียร์จะสั้นลงเรื่อย ๆ
ถ้าเทโลเมียร์สั้นลงจนถึงจุดๆ หนึ่งเซลล์นั้นก็จะเสื่อมและถูกทำลายไป เมื่อเซลล์หยุดการทำงานจะเกิดการแพร่กระจายของอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ที่อยู่ข้างเคียง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมหรือชราภาพของเซลล์ ความยาวของเทโลเมียร์จึงบ่งบอกถึงความเสื่อมของเซลล์และเป็นตัวชี้วัดอายุร่างกายได้ คนที่มีเทโลเมียร์สั้นมากทั้งๆ ที่อายุน้อย แสดงว่าคนๆ นั้นแก่เร็วเกินไป และการทำงานที่ผิดปกติของเทโลเมียร์ยังมีความสัมพันธ์กับโรคบางชนิด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอัลไซเมอร์ โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง เป็นต้น
ถ้าเทโลเมียร์สั้นลงจนถึงจุดๆ หนึ่งเซลล์นั้นก็จะเสื่อมและถูกทำลายไป เมื่อเซลล์หยุดการทำงานจะเกิดการแพร่กระจายของอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดการอักเสบของเซลล์ที่อยู่ข้างเคียง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความเสื่อมหรือชราภาพของเซลล์ ความยาวของเทโลเมียร์จึงบ่งบอกถึงความเสื่อมของเซลล์และเป็นตัวชี้วัดอายุร่างกายได้ คนที่มีเทโลเมียร์สั้นมากทั้ง ๆ ที่อายุน้อย แสดงว่าคนๆ นั้นแก่เร็วเกินไป และการทำงานที่ผิดปกติของเทโลเมียร์ยังมีความสัมพันธ์กับโรคบางชนิด เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคอัลไซเมอร์ โรคเบาหวาน และโรคมะเร็ง เป็นต้น
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ 1979 (พ.ศ. 2522)
หลัง “ปาร์ค ฮยอนซอ” (พ่อของจีซัง) และ “ฮัน ซอนยอง” (แม่ของจีซัง) ซึ่งเป็นแพทย์นักวิจัยที่ศูนย์การแพทย์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และติดเชื้อไวรัส ‘VBT-01’ ทั้งคู่ ได้พาลูกน้อยวัยแบเบาะ (“จีซัง” ซึ่งมีชื่อภาษาอังกฤษว่า “เจสัน”) หนีมาใช้ชีวิตอย่างสงบในเมืองเล็กๆ ที่มัวร์เคาน์ตี้ รัฐเทนเนสซี สหรัฐอเมริกา แต่แล้วก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันในวันฮาโลวีนขึ้นจนได้ เมื่อ “ลี แจอุค” และลูกสมุนแวมไพร์บุกมาหาฮยอนซอและซอนยองถึงบ้าน โชคดีที่ฮยอนซอไหวตัวทันจึงบอกให้ซอนยองรีบพาลูกน้อยหนีไปเพื่อไม่ให้ลูกตกอยู่ในกำมือของแจอุค เขายอมเสียสละตนเองเพื่อปกป้องลูก โดยหวังว่าลูกจะเอาตัวรอดได้โดยไม่มีตน
15 ปีต่อมา (ปี ค.ศ. 1994 หรือ พ.ศ. 2537)
จีซังเติบโตอย่างโดดเดี่ยวบนเกาะเชจูโดยไม่ได้เข้าโรงเรียนและไม่มีเพื่อน ทำให้เขารู้สึกเบื่อหน่าย (แม่ของเขาทำหน้าที่เป็นครูสอนหนังสือให้) เขาเริ่มรู้ตัวว่าตนเองเป็นแวมไพร์หลังไม่ยอมทานยาตามที่แม่บอกแล้วมีอาการกระหายเลือด เมื่อธาตุแท้ปรากฏเขาทั้งโกรธตัวเองและสิ้นหวังในชีวิต จึงวิ่งเตลิดเข้าไปในป่าด้วยพละกำลังที่เหนือมนุษย์ เขากระโดดลงจากหน้าผาและเหินไปเกาะภูเขาหินกลางทะเลก่อนร่วงตกลงไปในน้ำ เมื่อพบว่าตนเองยังไม่ตายเขาก็กรีดร้องด้วยความคับแค้นใจ ระหว่างเดินกลับบ้านจีซังถูกชายคนหนึ่งตะโกนด่าว่าเดินเกะกะขวางทางและจะตรงเข้ามาทำร้าย
จีซังซึ่งกำลังอารมณ์ไม่ดีจึงชกกลับทำให้ชายคนดังกล่าวกระเด็นไปนอนแน่นิ่งบนฝากระโปรงรถ พรรคพวกของชายคนดังกล่าวเห็นดังนั้นจึงพากันลงจากรถแล้ววิ่งกรูกันเข้าไปหาจีซัง หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็จบลงที่โรงพัก ปรากฏว่าเหล่าชายฉกรรจ์ที่มีร่างกายล่ำสันต่างอยู่ในสภาพสะบักสะบอม พวกเขาพยายามฟ้องตำรวจว่าถูกจีซังทำร้ายร่างกาย (โดยบอกว่าจีซังเป็นเจ็ทลีและเก่งเหมือนหวงเฟยฟง) แต่ตำรวจไม่เชื่อเพราะเห็นว่าจีซังเป็นเพียงเด็กหนุ่มบอบบางแถมยังตัวเล็กกว่ากลุ่มชายฉกรรจ์เหล่านี้มาก
จีซังไม่รู้ว่าการกระทำที่บุ่มบ่ามของตนกำลังนำภัยมาสู่ตนเองและแม่ เพราะการที่เขาแสดงพละกำลังเหนือมนุษย์ให้คนอื่นเห็นทำให้ลูกสมุนของแจอุครู้ทันทีว่าเขาอยู่ที่ไหน หลังก่อเรื่องจีซังรู้สึกว่าชีวิตตนเองเริ่มมีรสชาติหลังอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหี่ยวเฉามานาน เขาคิดที่จะใช้ความสามารถพิเศษหาเงิน เพื่อจะได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตนเองต้องการ ซอนยองได้ยินดังนั้นจึงบอกให้จีซังหยุดฝันเฟื่องแล้วใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อควบคุมตนเอง
จีซังรู้ว่าแม่จะหยิบยกคำพูดของพ่อที่เคยพูดกับตนก่อนตายมากล่าวอ้างเหมือนที่เคยทำเป็นประจำจึงชิงพูดก่อนว่า “แม่เชื่อว่าลูกจะรู้รักษาตัวรอด ด้วยความสามารถของลูกเอง” จีซังบอกแม่ว่าตนได้ยินประโยคนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แม้จะเป็นประโยคที่ฟังแล้วดูดี แต่ตนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพ่อเลยสักนิด ถ้อยคำเหล่านี้จึงไม่มีความหมายใดๆ สำหรับตน ซอนยองบอกจีซังว่าเธอจะเล่าเรื่องทุกอย่างให้ฟังเมื่อถึงเวลา จีซังกล่าวทั้งน้ำตาว่า “ผมก็แค่อยากเป็นมนุษย์จริงๆ แต่มันไม่มีหวังเลย พอหมดหวังทีไรผมจะรู้สึกโกรธ ผมไม่น่าเกิดมาเลย จะได้ไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดและสิ้นหวังแบบนี้”
อีกด้านหนึ่งแจอุคกำลังผ่าตัดให้คนไข้ที่โรงเรียนแพทย์ฮาร์วาร์ดและโรงพยาบาลทั่วไปแมสซาชูเซตส์ ในสหรัฐอเมริกา เขาตัดเนื้อร้ายออกมาให้เหล่าแพทย์ฝึกหัดดูแล้วถามว่า เวลาเจอเนื้อร้ายซ่อนอยู่ในบริเวณที่ตรวจพบได้ยากแบบนี้แล้วคิดถึงเรื่องอะไร แพทย์คนหนึ่งคิดว่าโอกาสรอดของคนไข้จะสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่แจอุคคิดว่าเนื้อร้ายที่พบเหมือนหญิงสาวที่มาออกเดทสาย 3 ชั่วโมง (ต้องเขี่ยทิ้ง) เขากล่าวว่าการกำจัดเนื้อร้ายบริเวณ uncinate process* ของตับอ่อนก็เหมือนการปราบผี พวกตนจึงเป็นเหมือนนักล่าผี
หลังผ่าตัด แจอุคนั่งฟังเพลงคลาสสิคพลางดื่มไวน์อย่างสบายอามรมณ์ ทันใดนั้นก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น (สมุนแวมไพร์ของเขาโทรฯ มารายงานความคืบหน้าบนเกาะเชจู) เขารับสายแล้วพูดว่า “ฮัลโหล… ที่ไหน? คนพวกนี้มาสาย 3 ชั่วโมง (ต้องกำจัดหรือเขียทิ้งเหมือนผู้หญิงที่มาออกเดทสาย 3 ชั่วโมง) โอเค… คอยจับตาดูไปก่อน ไม่… มีบางอย่างที่พวกนายต้องไปทำก่อน “
จีซังอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในป่า (บนเกาะเชจู) โดยไม่รู้ว่าถูกสองแวมไพร์ “นัม ชอลฮุน” (อดีตนักมวย ปัจจุบันเป็นมือขวาของแจอุค) และ “แอล” (สมุนแจอุคและลูกน้องของชอลฮุน) คอยจับตาดูอยู่ แต่หลังจับตาดูแล้วทั้งคู่ก็จากไปเงียบๆ อีกด้านหนึ่ง “ยู แชอึน” (หรือ “ยู ริต้า” ในวัยเด็ก) ก็ถูก “ยู ซอกจู” ผู้เป็นลุงส่งมาเที่ยวเกาะเชจูกับพ่อแม่ทั้ง ๆ ที่เธออยากไปฮาวาย
ขณะที่สองแวมไพร์ชอลฮุนกับแอลเรียกฝูงหมาป่าดุร้ายให้ออกมาหาพวกตน พ่อกับแม่ของแชอึนต่างพากันชื่นชมทัศนียภาพและเหล่าพรรณไม้ในป่า ผิดกับแชอึนที่รู้สึกเบื่อ พอเห็นกระต่ายตัวน้อยเธอก็วิ่งตามไปเล่นด้วยโดยไม่รู้ว่าฝูงหมาป่ากำลังวิ่งตรงมาหาเธอ กว่าจะรู้ตัวฝูงหมาป่าก็อยู่ตรงหน้าและพากันเดินเข้าไปหาเธออย่างประสงค์ร้าย หมาป่าตัวหนึ่งกระโจนเข้าแชอึน แชอึนเห็นดังนั้นก็เสียหลักหงายหลังทำให้ศีรษะกระแทกหิน นับว่าโชคดีที่จีซังมาช่วยเธอไว้ได้ทัน ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้นจึงหันมารุมกัดจีซังแทน
หลังโดนหมาป่าทำร้ายจีซังก็กลายร่างเป็นแวมไพร์และจัดการฝูงหมาป่าด้วยมือเปล่าต่อหน้าแชอึน (ซึ่งอยู่ในสภาพกึ่งหลับกึ่งตื่น) โดยมีสองแวมไพร์ยืนดูอยู่ห่างๆ แจอุคได้รับรายงานเรื่องความสามารถของจีซังก็รู้สึกพอใจ เขาเปรยว่า “แวมไพร์สายพันธุ์แท้ (เป็นแวมไพร์โดยสายเลือดไม่ได้เกิดเป็นคนแล้วติดเชื้อ) ปาร์ค ฮยอนซอ… ลูกชายนายไม่เหมือนใครจริงๆ ชั้นกับเจสัน (จีซัง) จะพิสูจน์ให้นายดูว่าชั้นคิดถูก” หลังพบว่าลูกสาวหายไป พ่อกับแม่ของแชอึนก็ออกตามหาแต่กลับต้องเผชิญหน้ากับสองคนร้าย
สองแวมไพร์เห็นจีซังสามารถรับมือหมาป่าได้ทั้งฝูงจึงยิ้มอย่างพึงพอใจแล้วเดินจากไป จีซังซึ่งได้รับบาดเจ็บทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรง ไม่นานบาดแผลของเขาก็ค่อย ๆ เลือนหายไป จีซังนำสมุนไพรแก้ปวดมาป้อนแชอึนซึ่งมีเลือดออกที่ศีรษะ แชอึนบอกจีซังว่าตอนเผชิญหน้ากับฝูงหมาป่าเธอภาวนาให้สวรรค์ส่งใครสักคนมาช่วยเธอ แล้วเขาก็มาช่วยเธอจริง ๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงตำรวจและหน่วยกู้ภัยร้องเรียกแชอึน จีซังจึงบอกลาเธอและเตือนว่าต่อไปนี้อย่าเข้ามาในป่าคนเดียวอีก เพราะตนไม่อาจปรากฏตัวทุกครั้งที่เธอภาวนา
จีซังกลับเข้าบ้านในขณะที่แม่ของเขากำลังแอบทดลองและคิดค้นตัวยา พอรู้ว่าลูกชายช่วยชีวิตคนอื่นซอนยองก็รู้สึกภูมิใจ ในตอนนั้นจีซังเกิดความรู้สึกแปลก ๆ ซึ่งเขาเองก็บอกแม่ไม่ถูกว่ามันคืออะไร แต่ความรู้สึกแบบนี้เพิ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก (เขารู้สึกดีที่ได้ใช้ความเป็นแวมไพร์ที่ตนเองเกลียดชังช่วยชีวิตผู้อื่น และแอบปลื้มแชอึน) ในเวลาเดียวกันนั้น แจอุคซึ่งอยู่ในห้องทดลองยาส่วนตัว (ที่อเมริกา) ก็กำลังคุยโทรศัพท์กับลูกน้อง เขากล่าวว่า “ตอนนี้นายเอาตัวเด็กนั่นมาให้ชั้นได้แล้ว ไม่… แค่เด็กคนเดียว”
คืนนั้นจีซังคิดถึงแชอึนจนนอนไม่หลับ พอเดินผ่านแผงขายเครื่องประดับในวันรุ่งขึ้นเขาก็แวะซื้อกิ๊บติดผมสีชมพู อีกด้านหนึ่งซอนยองซึ่งกำลังผลิตยาบางอย่างได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ไม่นานสองแวมไพร์ก็บุกเข้ามาในบ้าน ซอนยองพร้อมรับมือผู้บุกรุกโดยเตรียมเข็มฉีดยาขนาดใหญ่ยักษ์เป็นอาวุธ แต่เธอต้านแรงของชอลฮุนไม่ไหว หลังถูกจับเหวี่ยงจนร่างกระแทกตู้กระจกอย่างจัง ซอนยองก็กลายร่างเป็นแวมไพร์ เมื่อจีซังเดินมาถึงหน้าบ้านก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติจึงรีบวิ่งเข้าไปดูแม่ และพบว่าแม่กำลังจะถูกชอลฮุนฉีดยา
ซอนยองบอกให้จีซังรีบหนีไป แต่จีซังไม่ยอมทิ้งแม่จึงเข้าไปต่อสู้กับแอลและถูกแอลจับร่างเหวี่ยงกระแทกพื้น ชอลฮุนฉวยโอกาสฉีดยาซอนยอง จีซังเห็นดังนั้นจึงวิ่งเข้าไปหาแม่ซึ่งมีอาการเจ็บปวด แต่ถูกแอลขวางเอาไว้ หลังกลายร่างเป็นแวมไพร์จีซังก็เอาชนะแอลได้ แต่ยังไม่อาจรับมือชอลฮุนจึงถูกเหวี่ยงจนร่างลอยไปกระแทกบันได แม้จะทรมานอย่างแสนสาหัสแต่ซอนยองก็พยายามรวบรวมกำลังและคลานไปที่สวิตช์ไฟ จากนั้นก็ร้องบอกจีซัง (ซึ่งกำลังถูกชอลฮุนบีบคอ) ให้หลับตาก่อนเปิดไฟสปอร์ตไลท์ สองแวมไพร์ถูกไฟส่องตาจึงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด จีซังจึงฉวยโอกาสพาแม่หนีเข้าไปในป่า
ซังจะพาซอนยองไปรักษาที่โรงพยาบาล แต่ซอนยองปฏิเสธโดยบอกว่าเธอไม่รอดแน่ จีซังถามว่ายาที่ชอลฮุนฉีดให้แม่คืออะไร ซอนยองไม่ตอบ เธอบอกให้จีซังหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก่อนไปเขาต้องพาเธอกลับไปที่บ้านแล้วเผาร่างเธอเสียเพื่อไม่ให้คนอื่นๆ ติดเชื้อ และให้เอาภาพวาด (พระอาทิตย์) ของเขาไปด้วย
เธอขอโทษจีซังที่ไม่อาจอยู่ดูแลได้ หลังบอกรักจีซังแล้วเธอก็สิ้นใจ จีซังจะปลดภาพวาดพระอาทิตย์ลงมาแต่กลับพบว่ามีกล่องใส่ฟล็อปปี้ดิสก์และเทปคาสเซ็ตต์ซุกซ่อนอยู่ทางด้านหลัง หลังนำของออกมาแล้วจีซังก็นำกิ๊บ (ที่เพิ่งซื้อ) มาติดให้แม่แล้วเผาแม่ในบ้านตามคำสั่งเสีย เขาถือภาพวาดแล้วยืนมองแม่ในกองเพลิงทั้งน้ำตาพลางนึกถึงคำพูดที่แม่เคยบอกว่า เขาสามารถกลับกลายเป็นมนุษย์ได้ เช่นเดียวกับอสูรที่กลายร่างเป็นองค์ชายรูปงาม
หลังจากนั้น จีซังก็นำวิดีโอที่แม่ของเขาบันทึกเตรียมไว้ให้ไปเปิดดูในห้องทดลอง หลายปีต่อมา จีซังไปเป็นแพทย์อาสาในภาวะสงครามกลางเมืองที่สาธารณรัฐโคเชเนีย เขาต้องช่วยเหลือทหารที่ได้บาดเจ็บท่ามกลางสถานการณ์การสู้รบอันแสนดุเดือด (มีทั้งการดวลปืนและทิ้งระเบิดทางอากาศ) เมื่อ “จู ฮยอนอู” โทรฯ มาหาจีซังแล้วพบว่าจีซังอยู่ท่ามกลางดงกระสุน เขาเลยแกล้งถามว่าจีซังว่ากำลังเล่นวิดีโอเกมอยู่หรือ (เขาเรียกจีซังว่าพี่) ฮยอนอูบอกจีซังว่าตนรู้แหล่งที่มาของข้อมูลแล้ว และชี้ว่าข้อมูลถูกส่งมาจากโรงพยาบาลมะเร็งแทมินในเกาหลีใต้ หรือถ้าจะพูดให้ชัดก็คือมันถูกส่งผ่านระบบรักษาความปลอดภัยของฐานข้อมูลที่โรงพยาบาล
หลังปฐมพยาบาลทหารเสร็จแล้ว จีซังก็บอกให้แพทย์อาสาอีกคนรีบนำตัวผู้บาดเจ็บออกจากพื้นที่ ทันใดนั้น ทหารฝ่ายตรงข้ามที่ซุ่มอยู่ในตึกใกล้เคียงก็ยิงตอบโต้ด้วยปีนยิงลูกระเบิด แถมระเบิดเจ้ากรรมดันตกและระเบิดตรงที่จีซังกำลังนั่งคุยโทรศัพท์พอดี แพทย์อาสากับทหารบาดเจ็บ (ที่เพิ่งเดินออกไปและรอดตายอย่างฉิวเฉียด) หันกลับไปมองจีซังด้วยสีหน้าตกตะลึง ครั้นเมื่อฝุ่นควันจางลงจีซังก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากบริเวณดังกล่าวหน้าตาเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เมื่อพบว่าข้อมูลและภาพโครงกระดูกแวมไพร์ที่สุสานร้างในตำนาน (สุสานบนที่ราบโดรต้าในสาธารณรัฐโคเชเนีย) ถูกส่งมาให้ตนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ที่โรงพยาบาลมะเร็งแทมินในเกาหลี โดยโครงกระดูกเหล่านี้ถูกฝังมานาน 150 ปี ก่อนที่จะมีใครบางคนมาพบเข้าเมื่อปี ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) และได้นำเศษผ้าเปื้อนเลือดที่ติดอยู่กับโครงกระดูกไปด้วย หลังจากนั้นก็ทำการเพาะเชื้อไวรัส เนื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนจีซังเกิด 3 ปี จึงเป็นไปได้ว่าพ่อกับแม่ของจีซังจะติดเชื้อที่ถูกเพาะในตอนนั้น จีซังจึงย้ายมาเป็นหมอที่โรงพยาบาลมะเร็งแทมินในเกาหลีใต้ เพื่อสืบหาข้อเท็จจริงและหาวิธีคิดค้นตัวยารักษาไวรัสชนิดดังกล่าว
เรื่องนี้นอกจากจะแนวแวมไพร์ รักโรแมนติกแล้วยังมีดราม่าอีกด้วย คือส่วนที่โรแมนติกก็ฟินจิกหมอนขาด ส่วนที่ดราม่าก็ดราม่าหนักมาก ร้องไห้อย่างกับเขื่อนแตกกันเลยทีเดียว ฉากที่ประทับใจ คือฉากที่เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระเอกและแม่ของพระเอก เป็นฉากที่ทำเอาน้ำตาไหลอาบแก้มเลย เข้าใจความรู้สึกพระเอกที่ต้องเสียคนในครอบครัวคนสุดท้ายไปจริง ๆ คะแนน 8/10
รับชมตัวอย่างหนัง : ราชันผู้งดงาม
ติดตามข่าวสารหนังเพิ่มเติม : รีวิวหนัง