รีวิวหนัง ภาพยนตร์ | Murder on the Orient Express
รีวิวหนัง ภาพยนตร์ | Murder on the Orient Express ฆาตกรรมบนรถด่วนโอเรียนท์เอกซ์เพรส
Murder on the Orient Express จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อรถไฟสุดหรูที่มุ่งหน้าสู่ยุโรปได้เกิดเรื่องราวลึกลับสุดล้ำ ชวนตั้งข้อสงสัยและชวนระทึกขวัญ ผลงานจากนิยายขายดีของผู้แต่งอะกาธา คริสตี้ เรื่อง “Murder on the Orient Express” ถ่ายทอดเรื่องราวของคนแปลกหน้าทั้ง 13 คนที่ติดอยู่ในรถไฟท่ามกลางความสงสัยของทุกคน โดยคนหนึ่งต้องแข่งกับเวลาเพื่อแก้ปริศนาก่อนที่ฆาตกรจะเล่นงานอีกครั้ง เคนเนธ บรานาห์ กำกับฯ และนำทีมนักแสดงทั้งหมด อาทิ เพเนโลเป้ ครูซ, วิลเลม ดาโฟ, จูดี้ เดนช์, จอห์นนี เดปป์, มิเชล ไฟเฟอร์, เดซี ริดลีย์ และ จอช แกด
เรื่องย่อ Murder on the Orient Express
ในปี 1934 หลังจากที่คลี่คลายเหตุจลาจลที่เยรูซาเล็ม นักสืบผู้รักความเพอร์เฟคต์ แอร์คูล ปัวโรต์ (บรานาห์) ก็หวังจะได้เดินทางท่องเที่ยวตามสถานที่ต่าง ๆ อย่างเช่นเมืองสตัมบูล (ที่เรียกว่าอิสตันบูลตามแต่ที่ใครจะปกครองเมืองนี้) เพื่อผ่อนคลาย แต่แล้วเมื่อเขาได้เดินทางไปถึงเมืองสตัมบูลเขาก็ได้รับโทรเลขด่วนให้กลับไปยังลอนดอนเพื่อคลี่คลายคดีที่เกิดขึ้น ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแผนการโดยขึ้นรถด่วนโอเรียนท์เอกซ์เพรสซึ่ง บุค (เบทแมน) เพื่อนของเขาที่เป็นผู้อำนวยการสายรถไฟดังกล่าวเป็นผู้จัดแจงให้
ปรากฏว่าเมื่อปัวโรต์ได้ขึ้นรถด่วนดังกล่าวกลับพบว่าตู้นอนบนรถไฟมีคนจองเต็มไม่มีที่ว่างเลย แต่เคราะห์ดีที่ผู้โดยสารคนนึงยังไม่มา เลยทำให้ปัวโรต์ได้ขึ้นรถขบวนนี้ ในระหว่างที่รถด่วนกำลังเดินทางบุคและปัวโรต์ได้สังเกตว่ามีเรื่องที่น่าประหลาดใจที่บุคคลในรถด่วนขบวนนี้มีผู้คนหลากเชื้อชาติหลายชนชั้นร่วมกันเดินทางอยู่ด้วย ไม่ว่าจะเป็น มิสเตอร์แรตต์เชท (เด๊ป) นายหน้าผู้ค้าของเก่า ซึ่งเดินทางมากับ แมคควีน (แก๊ด) เลขาของเขา และมาสเตอร์แมนผู้รับใช้ชาวอังกฤษ (จาโคบี้) เจ้าหญิงดรา โกมิรอฟฟ์ (เดนช์) กับผู้รับใช้ชาวเยอรมัน (โคลแมน) มิสซิสฮับบาร์ด หญิงม่ายชาวอเมริกัน (ไฟเฟอร์) มิสเดเบนแฮม ครูสอนเด็กชาวอังกฤษ (ริดลี่) คุณหมอผิวสี ดร.อาบุธน็อต (โอดอม จูเนียร์) ศาสตราจารย์ชาวออสเตรีย (เดโฟ) มิชชันนารี ชาวละติน (ครูซ) เซลล์แมนขายรถ (มาร์เกซ) นักการทูตชาวฮังการี เคานต์อันเดรลยี่ (โปลูนิน) และภรรยา (บอยน์ตัน)
ขณะที่รถด่วนกำลังวิ่งอยู่ที่เมืองวินโคชี่ได้เกิดหิมะถล่มทำให้รถตกรางการเดินทางต้องจึงหยุดชะงัก อีกทั้งยังเกิดเหตุไม่คาดฝันที่บนรถด่วนนั้นได้มีการฆาตกรรมเกิดขึ้น ซึ่งเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายก็คือ มิสเตอร์แรตต์เชท และผู้ต้องสงสัยในคดีนี้จะเป็นใครไม่ได้นอกจากผู้โดยสารคนใดคนหนึ่งที่ร่วมเดินทางมาในตู้รถขบวนเดียวกันกับเขานั่นเอง บุคจึงขอร้องให้ ปัวโรต์ ช่วยสืบหาคนร้ายให้ทันก่อนที่รถด่วนจะสามารถเดินทางได้อีกครั้ง
จากเนื้อเรื่อง Murder on the Orient Express
หนังเป็นแนวสืบสวนดราม่า ในบทหนังจะมีความเข้มข้นลึกลับมีเงื่อนงำ ที่ทำให้เราจะต้องคอยลุ้นไปเรื่อย ๆ ว่าตอนสุดท้ายคนร้ายจะเป็นใคร และแน่นอนว่าคุณก็ไม่มีทางเดาออกว่าเป็นใคร ในหนังจะมีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยให้คุณจะต้องสังเกตให้ดี ๆ จุดเล็ก ๆ ของหนังก็มีความหมาย หากคลาดสายตาไปสักนิดหนึ่ง อาจจะทำให้ตามเรื่องไม่ทันได้ นอกจากนั้นหนังเองยังสะท้อนแง่คิดต่าง ๆ ให้เราได้ขบคิด อย่างเช่น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหตุการณ์หนึ่งนั้น มันสามารถที่สร้างความทรงจำที่เลวร้ายที่ยากจะลืมเลือน จนทำให้คนดี ๆ สามารถทำเรื่องที่เลวร้ายเพื่อพยายามลบความทรงจำนั้นให้หายไป
โลกเราแม้จะมีสมดุลเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่เมื่อความสมดุลมันไม่เพียงพอต่อความยุติธรรม การทำให้เกิดความไม่สมดุลอาจจะเป็นคำตอบได้ สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดเด่นของหนังเรื่องนี้คงจะเป็นในเรื่อง CG ที่งดงาม หนังได้เนรมิตเมืองท่าอย่างสตัมบูล ได้อย่างงดงามและมีเสน่ห์ นอกจากนี้ในช่วงการเดินทางฝ่าหิมะของรถด่วนก็สามารถทำได้เหมือนจริง ดูเนียนตาเหลือเกิน อีกทั้งหนังจะพาเราไปชมกับบรรยากาศของรถด่วนชั้นหนึ่งสมัยเมื่อตอนคุณตาคุณยายยังเด็ก ว่ามีความหรูหราอลังการมากน้อยเพียงใด รวมไปถึงเรื่องคอสตูมที่ต้องบอกว่าทีมงานสามารถจัดเสื้อผ้าหน้าผมออกมาได้ดูดีมีเสน่ห์ เรียกได้ว่าสวยงามอย่างคลาสสิคสมกับเป็นยุคสมัยแห่งทศวรรษที่ 1930
ภาพยนตร์เปิดเรื่องในช่วงฤดูหนาว ปี ค.ศ. 1934 แอร์กูล ปัวโร นักสืบชาวเบลเยียมไขคดีโจรกรรมในกรุงเยรูซาเลมได้สำเร็จ ก่อนจะเดินทางไปพักผ่อนที่อิสตันบูล แต่เขากลับได้รับโทรเลขเกี่ยวกับคดีจากลอนดอนทำให้เขาต้องรีบเดินทางกลับด้วยรถด่วนโอเรียนท์เอกซ์เพรส โดยได้รับความอนุเคราะห์จากบุค เพื่อนของเขา ขณะอยู่บนรถไฟ ปัวโร พบกับ แรตเช็ตต์ นักธุรกิจชาวอเมริกันผู้เชื่อว่าตนกำลังถูกปองร้าย เขาเสนอให้ปัวโรเป็นบอดี้การ์ดของเขา แต่ปัวโรปฏิเสธ ในคืนนั้น ปัวโรได้ยินเสียงแปลก ๆ มาจากห้องของ แรตเช็ตต์ และเห็นผู้หญิงสวมชุดกิโมโนสีแดงวิ่งหายไปจากทางเดิน ขณะเดียวกัน หิมะถล่มทำให้รถไฟตกราง
เช้าวันต่อมา ปัวโร พบว่า แรตเช็ตต์ ถูกฆ่าตาย มีบาดแผลถูกแทง 12 แผล เขากับบุคจึงร่วมกันสืบคดี ทั้งสองพบหลักฐานหลายอย่างที่บ่งชี้ว่าฆาตกรลงมือคนเดียว ด้าน คุณนายฮับบาร์ด ซึ่งห้องติดกับ แรตเช็ตต์ บอก ปัวโร ว่าเมื่อคืน เธอเห็นผู้ชายอยู่ในห้องของเธอ ต่อมาปัวโรพบเบาะแสที่เชื่อมโยงแรตเช็ตต์กับคดีลักพาตัว เดซี อาร์มสตรอง โดยตัวตนที่แท้จริงของแรตเช็ตต์คือ คาสเซตติ โจรลักพาตัวที่จับ เดซี ลูกสาวของ ผู้พันจอห์น และ โซเนีย อาร์มสตรอง ไปเรียกค่าไถ่ เมื่อครอบครัวอาร์มสตรองยอมจ่ายเงินค่าไถ่ พวกเขากลับพบว่า เดซี ถูกฆ่าตาย ทำให้ โซเนีย เสียใจมากจนแท้งลูกและเสียชีวิต ส่วน จอห์น ตัดสินใจยิงตัวตาย ด้าน ซูซาน คนรับใช้ของครอบครัวอาร์มสตรองถูกจับกุม แต่เธอฆ่าตัวตาย ก่อนที่ผลการสืบสวนจะพบว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์
ปัวโรพบหลักฐานสำคัญ เช่น ผ้าเช็ดหน้าที่ปักตัวอักษร “H” ชุดกิโมโนสีแดงและเครื่องแบบพนักงานรถไฟ หลังสอบปากคำผู้โดยสารทุกคน ปัวโรพบว่าทั้งหมดมีความเชื่อมโยงกับคดีลักพาตัวอาร์มสตรอง ขณะ ปัวโร คุยกับ แมรี เดเบแนม เขาถูก ดร. อาร์บุธนอต ยิงก่อนที่บุคจะมาช่วยไว้ได้
ปัวโร รวบรวมข้อมูลทั้งหมดแล้วเสนอออกมาเป็น 2 ทฤษฎี หนึ่งคือมีฆาตกรปลอมตัวเป็นพนักงานรถไฟเข้ามาฆ่าแรตเช็ตต์ก่อนจะหลบหนีไป สองคือผู้โดยสารทุกคนเป็นฆาตกร เพราะต่างได้รับผลกระทบจากคดีลักพาตัวอาร์มสตรองทั้งสิ้น โดย มาสเตอร์แมน เคยร่วมรบกับ จอห์น ก่อนจะมาเป็นพ่อบ้านตระกูลอาร์มสตรอง, ดร. อาร์บุธนอต เคยเป็นพลแม่นปืนใต้บังคับบัญชาของจอห์น เขาจงใจยิงให้ปัวโรบาดเจ็บเพื่อปกป้อง แมรี คนรักของเขาให้พ้นจากข้อกล่าวหา, เคาน์เตสอันเดรนยี (ชื่อเดิม เฮเลนา โกลเดนเบิร์ก)
ภรรยา ของ เคานต์อันเดรนยี เป็นน้องสาวของ โซเนีย และน้าของ เดซี, เจ้าหญิง ดราโกมิรอฟฟ์ เป็นแม่ทูนหัวของโซเนีย, แมรี เคยเป็นผู้ดูแลเดซีและเธอคือผู้หญิงที่สวมชุดกิโมโนสีแดง, ชมิดท์ เคยเป็นแม่ครัวตระกูลอาร์มสตรอง, มาร์เกซ เป็นหนี้บุญคุณ จอห์น เพราะเขาช่วยเหลือธุรกิจของ มาร์เกซ, พีลาร์ เคยเป็นพยาบาลของเดซี, บิดาของ แม็คควีน เคยเป็นอัยการเขตที่ทำผิดพลาดด้วยการสั่งฟ้อง ซูซาน ในข้อหาฆ่าคนตาย, มิเชล เป็นพี่ชายของ ซูซาน, ฮาร์ดแมน เคยเป็นตำรวจที่คบหากับซูซานและตัวตนที่แท้จริงของคุณนายฮับบาร์ดคือ ลินดา อาร์เดน นักแสดงยอดฝีมือซึ่งเป็นแม่ของโซเนียและยายของเดซี เธอเป็นคนวางแผนทั้งหมด โดยให้ผู้โดยสารทุกคนยกเว้นเคาน์เตสอันเดรนยีซึ่งป่วยแทงแรตเช็ตต์จนตายแล้วทิ้งหลักฐานต่าง ๆ ไว้เพื่อให้ดูเหมือนว่ามีฆาตกรเพียงคนเดียว
เมื่อรถไฟกลับมาเดินทางอีกครั้ง ปัวโรตัดสินใจบอก “ทฤษฎีแรก” แก่ตำรวจด้วยเห็นว่า แรตเช็ตต์ สมควรได้รับผลกรรมที่เขาก่อ ภาพยนตร์จบลงเมื่อปัวโรลงจากรถไฟที่สถานี ก่อนจะพบว่ามีผู้แจ้งข่าวว่าต้องการให้เขาไปสืบคดีฆาตกรรมบนเรือในแม่น้ำไนล์
เป็นหนังสอบสวนไม่ตื่นเต้นเท่าไรนัก เรื่องแม้จะดัดแปลงให้มีฉากแอคชั่น อีกทั้งการที่หนังมันถูกดัดแปลงมาจากหนังสือทั้งเล่มจึงจำเป็นจะต้องดำเนินไปอย่างรวบรัดกระชับฉับไวจนบางครั้งทำให้คนดูอาจตามไม่ทันและงงๆ รวมไปถึงการที่รวมเอาดาราดัง ๆ มาเล่นด้วยกันอย่างคับคั่ง อย่างไรก็ตามคอหนังแนวสืบสวน และแฟนหนังสือของ อกาธา คริสตี้ ไม่ผิดหวังเรื่องนี้แน่นอน คะแนน 8/10
รับชมตัวอย่างหนัง : ฆาตกรรมบนรถด่วนโอเรียนท์เอกซ์เพรส
ติดตามข่าวสารหนังเพิ่มเติม : รีวิวหนัง